เนื่องจากในปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยมีความแปรปรวน ฝนตกหนัก อุณหภูมิเริ่มลดลง ในหลายพื้นที่ ซึ่งสภาพอากาศดังกล่าวส่งผลให้สัตว์ต่างๆ เช่น โค กระบือ แพะ แกะ สุกร เกิดความเครียด และมีผลต่อระดับภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสัตว์อ่อนแอ โดยเฉพาะสัตว์ที่ต้องเดินทาง หรือเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง สัตว์ที่ไม่แข็งแรงจะไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย และยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โรคระบาดต่างๆ แพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นได้อีกด้วย ซึ่งการเฝ้าระวังและควบคุมโรคระบาดสัตว์นั้น จำแนกเป็นการเฝ้าระวังและควบคุมโรคในสัตว์ใหญ่ และสัตว์ปีก โดยอันดับแรกจะขอกล่าวถึงในสัตว์ใหญ่ว่า โรคระบาดสัตว์ที่อาจจะพบได้ในช่วงนี้ ได้แก่ โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) โรคเฮโมเรยิกเซฟติกซีเมีย หรือโรคคอบวม และโรคพี อาร์ อาร์ เอส หรือ โรคเพิร์ส ดังนั้น จึงขอให้เกษตรกรทำความรู้จักกับโรคระบาดที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น ดังนี้

 โรคปากและเท้าเปื่อย เป็นโรคระบาดที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่งของ โค กระบือ แพะ แกะ สุกร ซึ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เนื่องจากติดต่อได้เร็วและควบคุมให้สงบลงได้ยาก โรคนี้ไม่ทำให้สัตว์ถึงตาย แต่สุขภาพทรุด-โทรม ผลผลิตลดลง มีสาเหตุ เกิดจาการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อได้จากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปะปนอยู่ในอากาศเข้าไป นอกจากนี้การเคลื่อนย้ายสัตว์หรือซากสัตว์ที่เป็นโรคจะทำให้เชื้อแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงติดต่อผ่านทางยานพาหนะ คน เสื้อผ้า อุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ต่างๆด้วย เมื่อสัตว์ได้รับเชื้อโรคนี้แล้วจะมีอาการน้ำลายไหล เกิดเม็ดตุ่มที่เยื่อเมือกต่างๆ เช่น บริเวณปาก จมูก กีบ ทำให้สัตว์เกิดความเจ็บปวด กินอาหารไม่ได้ เดินกระเผลก กีบหลุด ซูบผอม โตช้า แท้งลูก ผสมไม่ติด ส่วนการรักษานั้น ทำได้โดยใส่ยารักษาแผลที่ปากและเท้า ร่วมกับการฉีดยาปฏิชีวนะจะทำให้สัตว์หายป่วยเร็วขึ้น เกษตรกรสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนโรคปากและเท้าเปื่อยในโค กระบือ แพะ แกะ สุกร ทุกๆ 6 เดือน

โรคเฮโมรายิกเซพติกซีเมีย หรือโรคคอบวม เป็นโรคระบาดรุนแรงในกระบือ แต่จะมีความรุนแรงน้อยลงในสัตว์อื่นๆ เช่น โค แพะ แกะ ม้า อูฐ กวาง และช้าง เป็นต้น มีสาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อชนิดนี้สามารถอยู่ในระบบทางเดินหายใจสัตว์ปกติได้ โดยที่สัตว์ไม่แสดงอาการป่วย แต่เมื่อสัตว์อยู่ในภาวะเครียด สัตว์จะแสดงอาการป่วย และขับเชื้อออกสู่สิ่งแวดล้อม ปนเปื้อนอาหารและน้ำ เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในดินที่ชื้นแฉะ หรือในน้ำได้นานหลายชั่วโมง ถึงหลายวัน ติดต่อได้จากการกินอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ และขับเชื้อออกมากับสิ่งขับถ่ายต่างๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ การระบาดของโรคจะเกิดได้ง่ายในสภาวะที่สัตว์เกิดความเครียด เช่น ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ขาดสารอาหาร การจัดการการเลี้ยงที่ไม่ดี หรือการเคลื่อนย้ายสัตว์ เมื่อสัตว์ได้รับเชื้อจะมีอาการ ดังนี้ ลักษณะสำคัญของโรค สัตว์จะหายใจหอบลึก มีเสียงดัง ยืดคอไปข้างหน้า คอ หรือหน้าบวม แข็ง อัตราการป่วยและอัตราการตายสูง สัตว์อาจตายทันทีก่อนแสดงอาการให้เห็น หรือถ้าป่วยเรื้อรัง จะแสดงอาการนาน อาการแบบเฉียบพลัน ได้แก่ มีไข้สูง น้ำลายไหลฟูมปาก หยุดกินอาหาร ซึม หายใจถี่ ระยะแรกท้องผูก ต่อมาท้องร่วง อาจมีเลือดปนออกมากับอุจจาระ สัตว์จะตายภายใน 2-3 วัน ส่วนอาการแบบเรื้อรัง สัตว์ป่วยจะมีชีวิตได้นานประมาณ 3-4 เดือน สุขภาพทรุดโทรม มีโรคแทรกซ้อน ส่วนการป้องกันนั้น ทำได้โดยการฉีดวัคซีนให้สัตว์ที่อายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป และฉีดซ้ำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง และดูแลด้านการจัดการและสุขาภิบาลให้ดี

 

โรคพี อาร์ อาร์ เอส หรือ โรค เพิร์ส เป็นโรคที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการทางระบบสืบพันธุ์ และระบบทางเดินหายใจของสุกร ก่อให้เกิดความเสียหายในแก่สุกรแม่พันธุ์ สุกรอนุบาล และสุกรขุน แม่สุกรผสมติดยาก เกิดการแท้งในช่วงท้ายของการตั้งท้อง การตายแรกคลอด เป็นมัมมี่ และทำให้ลูกสุกรเกิดใหม่อ่อนแอ อัตราการเข้าคลอดต่ำ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อัตราการตายสูงในลูกสุกรดูดนมและหย่านม แม่สุกรกลับสัดช้าลง อย่างไรก็ตามในสุกรบางฝูงอาจไม่แสดงอาการป่วย มีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อได้ โดยการกินหรือสัมผัสสุกรป่วยโดยตรง ทางผสมพันธุ์ และที่สำคัญ คือเชื้อจะปนเปื้อน กับรถขนสุกรหรือซากสุกรได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสนี้จะถูกขับทางน้ำมูก อุจจาระและน้ำเชื้อของสุกรที่ติดเชื้อ สุกรที่ได้รับเชื้อจะมีอาการ ดังนี้ สุกรหย่านมแสดงอาการป่วยในระบบทางเดินหายใจ และแม่สุกรแสดงอาการทางระบบสืบพันธุ์ เช่น แท้งลูก และตายแรกคลอด เป็นต้น นอกจากนี้สุกรจะแสดงอาการป่วย มีไข้ นอนสุมกัน ตัวแดง ไม่กินอาหาร ส่วนการป้องกัน คือ การจัดการฟาร์มและสุขาภิบาลที่ดี และไม่ใช้วัคซีนป้องกันโรคจากแหล่งผลิตที่ไม่มีการรับรองมาตรฐานเช่นวัคซีนจากประเทศจีน เนื่องจากอาจมีเชื้อไวรัสปนเปื้อนอยู่และก่อให้เกิดโรคระบาดภายหลังฉีดวัคซีนซึ่งจะก่อให้เกิดความสูญเสียต่อเกษตรกรอย่างรุนแรงได้

 

                      ดังนั้นเกษตรกรจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลปศุสัตว์ของตนให้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง โดยต้องดูแลในเรื่องการจัดการโรงเรือน หรือคอกสัตว์ที่ดี มีหลังคาป้องกันฝน ลม ละอองฝนได้เป็นอย่างดี มีการจัดเตรียมน้ำ อาหาร ยา และเวชภัณฑ์ให้พร้อม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพสัตว์ให้แข็งแรง และที่สำคัญต้องพ่นยาฆ่าเชื้อทุกครั้งเข้าและออกจากบริเวณฟาร์ม และเข้มงวดเรื่องคนงานในเล้าคลอด ห้ามปะปนกับส่วนอื่น รวมทั้งเข้มงวดเรื่องการฆ่าเชื้อก่อนเข้าโรงเรือน เลือกซื้อสัตว์ที่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ควรกักสัตว์ก่อนนำเข้ารวมฝูง หมั่นสังเกตอาการสัตว์เลี้ยงของตน หรือใกล้เคียง หากพบเห็นสัตว์ป่วยหรือตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องรีบแจ้งปศุสัตว์อำเภอทันที เพื่อตรวจสอบโดยเร็ว และลดความเสียหายจากโรคระบาด ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ทั่วประเทศให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ให้คำแนะนำดูแลด้านสุขภาพสัตว์ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาด ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามเขตจังหวัด และเฝ้าระวังการเกิดโรคระบาดสัตว์อย่างเข้มงวด

 

ส่วนโรคระบาดในสัตว์ปีกที่เกษตรกรควรเฝ้าระวังในช่วงฤดูหนาวนั้น เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวและมีฝนตกในบางพื้นที่ จากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงทำให้สัตว์ปีกเกิดความเครียด อ่อนแอลง และภูมิคุ้มกันโรคลดลง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดในสัตว์ปีกขึ้นได้ ซึ่งได้แก่ โรคไข้หวัดนก นิวคาสเซิล และอหิวาต์สัตว์ปีก โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกที่ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่พบโรคนี้มานานกว่า 3 ปีแล้วก็ตาม แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่โรคนี้อาจกลับมาแพร่ระบาดในประเทศไทยได้อีก เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน มีการอพยพของนกอพยพจากซีกโลกเหนือ การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศต่างๆ ทำให้ต้องเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

 

เกษตรกรควรเตรียมตัวรับมือและหาทางป้องกันอย่างไรได้บ้างนั้น มีแนวทางปฏิบัติอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ ประการแรก ส่งเสริมให้เกษตรกรจัดทำเล้าหรือโรงเรือนสำหรับสัตว์ปีกที่มีรั้วปิดมิดชิด ป้องกันลม ฝน นกธรรมชาติ สัตว์พาหะ เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบาด ประการที่สอง คือ ทำวัคซีนป้องกันโรคที่สำคัญในสัตว์ปีกที่แข็งแรง เช่นวัคซีนป้องกันโรคนิวคาสเซิล และหลอดลมอักเสบ อหิวาต์สัตว์ปีก ฝีดาษ เป็นต้น ส่วนประการสุดท้าย คือ หากพบสัตว์ปีกป่วยตายผิดปกติให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่เพื่อจะได้เข้าไปทำการควบคุมป้องกันโรคได้อย่างทันท่วงที

 

--------------------------------------------

 

ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์                       เรียบเรียง/เผยแพร่ : เพ็ญศิริ ดวงอุดม นวก.เผยแพร่ชำนาญการ