เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารเข้าตรวจค้นสถานที่ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการฆ่าสัตว์ในพื้นที่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม พบการกระทำความผิดมีการประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจึงได้ทำการเข้าจับกุมพร้อมยึดของกลางเป็นซากสัตว์ มูลค่ากว่า 3 พันกิโลกรัม และวัสดุอุปกรณ์ในการฆ่าสัตว์ มูลค่าเกือบ 4 แสนบาท

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 03.00 น. หน่วยปฏิบัติการพิเศษปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายปศุสัตว์ โดย กองสารวัตรและกักกัน สำนักงานปศุสัตว์เขต 7 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนครปฐม ด่านกักกันสัตว์นครปฐม ด่านกักกันสัตว์เพชรบุรี ด่านกักกันสัตว์ราชบุรี ด่านกักกันสัตว์ประจวบคีรีขันธ์ ด่านกักกันสัตว์สระบุรี ด่านกักกันสัตว์สุพรรณบุรี ด่านกักกันสัตว์ลพบุรีและด่านกักกันสัตว์ชัยนาท ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรโพธิ์แก้ว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทหารจากกองร้อยรักษาความสงบสุขจังหวัดนครปฐม กรมการสัตว์ทหารบก เข้าตรวจค้นสถานที่ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่า มีการฆ่าสัตว์ ในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 6 แห่ง ตามที่ได้รับร้องเรียนว่ามีการประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต และผลจากการตรวจค้นพบว่า มีการกระทำความผิด 4 ราย จึงได้จับกุมผู้กระทำความผิด ทั้ง 4 ราย พร้อมยึดของกลางเป็นซากสุกรชำแหละ 3,100 กิโลกรัม และอุปกรณ์ที่ใช้ในการฆ่า จำนวน 22 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 372,130 บาท เพื่อส่งดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรโพธิ์แก้ว จังหวัดนครปฐม โดยแจ้งข้อกล่าวหา 2 ข้อหา คือ ข้อหาที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 โดยทำการประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องโทษตามมาตรา 56 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2559 โดยทำการฆ่าสัตว์โดยมิได้แจ้งจำนวนสัตว์ที่จะฆ่า แหล่งที่มาของสัตว์ที่จะฆ่า วัน เวลาที่จะฆ่าสัตว์ และชื่อของโรงฆ่าสัตว์ ต้องโทษตามมาตรา 60 ระวางโทษปรับเรียงตามรายตัวของสัตว์ ดังนี้ โคหรือกระบือ ตัวละไม่เกินห้าหมื่นบาท แพะ แกะ สุกร หรือนกกระจอกเทศตัวละไม่เกินสองหมื่นบาท ไก่ เป็ด ห่าน ตัวละไม่เกินหนึ่งพันบาท และสัตว์อื่น ตัวละไม่เกินสองหมื่นบาท

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าตรวจค้นจับกุมการประกอบกิจการฆ่าสัตว์โดยผิดกฎหมายครั้งนี้ เป็นนโยบายสำคัญของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก เนื่องจากเนื้อสัตว์ที่ได้จากการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ที่ไม่ได้รับอนุญาต จะไม่มีการตรวจสอบใดๆ ไม่ทราบแหล่งที่มาของสัตว์ และผ่านกระบวนการฆ่าสัตว์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ จะทำให้เนื้อสัตว์ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีความเสี่ยงในการนำเชื้อโรคระบาดติดต่อไปยังผู้บริโภคได้ เช่น โรคหูดับ (streptococcus suis) โรคท้องร่วงที่เกิดจากเชื้อซัลโมเนลล่า (salmonellosis) โรคพยาธิในระบบทางเดินอาหาร หรืออันตรายจากสารตกค้าง เช่น สารเร่งเนื้อแดง ฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ เป็นต้น ส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคและอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้การไม่ทราบแหล่งที่มาของสัตว์ที่นำมาฆ่า อาจเป็นสาเหตุการแพร่กระจายของเชื้อโรคระบากสัตว์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (African Swine Fever : ASF) นอกจากนั้น กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการปราบปรามการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ โดยผิดกฎหมายทั่วประเทศ เพื่อยกระดับให้โรงฆ่าสัตว์มีมาตรฐานเดียวกัน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และหากท่านใดมีข้อสงสัยหรือต้องการร้องเรียนผู้กระทำความผิดกฎหมาย สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทุกจังหวัด หรือต้องการร้องเรียนผู้กระทำผิดกฎหมาย ติดต่อกองสารวัตรและกักกัน กรมปศุสัตว์โทรศัพท์ 0-2501—3473-5

************************************************

ข้อมูล / ข่าว : ฝ่ายสารวัตร กองสารวัตรและกักกัน กรมปศุสัตว์